tag:blogger.com,1999:blog-73588541399909095412024-02-18T20:11:11.697-08:00ศิษย์สุวรรณโคมคำK95http://www.blogger.com/profile/02408034698607399548noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-7358854139990909541.post-5275251720092839002011-03-23T07:18:00.000-07:002011-07-25T17:49:12.195-07:00ศิษย์สุวรรณโคมคำ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhiEToll0CmXdIeT14ip4uNJ07eZ-Kr0ZaiznTYLcqFlhYpnEjChijARDYUiAv3LfEKQ9fwteGEc4CPVh7p-FT0BCEGMdFTeGwJd_DGnAjJ9kOVYchyiRiTC_iAFIyg7I_-Aj9zd27TjglS/s1600/SAM_1111.JPG"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 150px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhiEToll0CmXdIeT14ip4uNJ07eZ-Kr0ZaiznTYLcqFlhYpnEjChijARDYUiAv3LfEKQ9fwteGEc4CPVh7p-FT0BCEGMdFTeGwJd_DGnAjJ9kOVYchyiRiTC_iAFIyg7I_-Aj9zd27TjglS/s200/SAM_1111.JPG" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5587697107416974274" /></a><br />จุดมุ่งหมายของwebนี้คือการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยอาศัยความรู้และความเข้าใจของกลุ่มศิษย์ฯที่ผ่านการเรียนรู้วิชชา <span class="Apple-style-span">สัตตาภิธรรมและกรรมจักร</span> โดยยึดหลักคำสอนดำเนินตามหลักวิถีแห่งพุทธศาสนา เรียนรู้การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันมีวัฏฏะสงสารเป็นบ่วงโซ่ สร้างวงจรชีวิตที่เกิดแล้วตายวนเวียนไปเกิดใหม่ในภพชาติที่ไม่รู้จบ นิพพาน จึงเป็นทางออกเดียวที่เราจะหลุดพ้นบ่วงโซ่ของการไม่กลับมาเกิดอีก ซึ่งวิชาที่สอนให้ศิษย์สุวรรณโคมคำรู้หน้าที่ เรียนรู้กรรมที่แบ่งออก เป็นกุศลกรรมและอกุศล คือกรรมดีและกรรมชั่วโดยกรรมนั้นเกิดขึ้นได้สามทาง ทางกาย วาจา ใจ เพื่อเป็นการตัดวงจรชาตะชีวิตชาวโลกชาวพุทธทุกท่าน มีหน้าที่เร่งเรียนรู้เรื่องของกฏแห่งกรรม โดยผ่านการรู้ชีวิตตน(กายนคร)ว่าช่วงชีวิตตนที่ผ่านมานั้น สุข ทุกข์เช่นไรและระยะเวลาใดที่เราประสพทุกข์อย่างแสนยากลำบาก เศร้า ไม่สบายกายใจ หวนคิดคำนึงและโทษสิ่งที่ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ยึดติดลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่เรียกว่าสุขภายนอก ควรฝึกให้ละทิ้งและรับรู้ทันอารมณ์(EMOTION) โดยเรียนรู้จากวิชชาที่สอนสืบต่อกันมาในรุ่นต่อรุ่น ครูต่อศิษย์ พี่ต่อน้อง หนุนเนื่องตามมา เรียนรู้ผ่านทางโหราศาสตร์(แนวพุทธ)ควบคู่ฝึกกสิณกรรมฐาน เหตุและปัจจัยทุกข์ ความสุขสมในชีวิตความสมหวังในสิ่งตั้งใจ ความปรารถนาที่ได้มาล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่ส่งผลให้ชีวิตคนเราแตกต่างไป พี่น้องพ่อแม่เดียวกันได้รับสุขทุกข์ต่างกัน แม้แต่คู่แฝดยังมีผลบุญของความสุขและทุกข์ไม่เหมือนกันทุกเรื่องไป ที่มีการแต่งกายเหมือนกัน พ่อแม่หยิบยื่นความรักให้พร้อมกันก็ไม่ได้มีความรู้สึกในความสุขทุกข์เช่นเดียวกัน เพราะผลบุญกุศลนั้นไม่เท่ากันจากเหตุของเจตนาทั้งผู้ให้และผู้รับทาง กาย วาจา ใจ ทั้งสามทางนี้ทำหน้าที่ในการสืบทอดกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมย่อมเป็นช่องทางเหตุปัจจัย อนึ่งทางกาย วาจา ใจนั้น ย่อมมีสภาวะของผู้ให้และผู้รับ แม้ผู้ให้จะยินดีให้ทั้งสามทางด้วยกุศลกรรมแต่ผู้รับนั้นไม่ตั้งจิตทั้งสามทาง เมีอผลกุศลทางใดที่ทางผู้ให้ส่งผ่านมานั้นก็ขึ้นอยู่ที่ผู้รับนั้นจะรับได้ทั้งสามทางหรือไม่ และในทางกลับกันเมื่อผู้ให้ไม่ตั้งจิตเป็นกุศลทางใดทางหนึ่งแล้วกุศลผลบุญที่ผู้รับจะได้รับก็ได้ไม่เต็มที่อันควรตามสภาวะแห่งจิตขณะนั้น<br /><br /> ทางสายกลางทางดำเนินชีวิตที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ มิใช่ทางเลือกแต่เป็นทางที่ทุกคนควรนำไปปฏิบัติ ชาตะชีวิตของแต่ละคนมีทั้งสุขและทุกข์ ไม่เลือกที่เกิดมาฐานะมั่งมีเงินทองหรือยากแค้นแสนเข็น ก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์และสุขคละเคล้ากันไป ทุกคนที่เกิดบนโลกใบนี้ล้วนตกอยู่ในวงจรชีวิตที่เรียกว่า"ปฏิจจสมุปบาท"อันมีวัฏฏสงสารเป็นบ่อเกิดคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้<br /><br />องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทแบบอนุโลม<br /><br /> เพราะอวิชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร<br /> เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ<br /> เพราะวิญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป<br /> เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ<br /> เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ<br /> เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา<br /> เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา<br /> เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปทาน<br /> เพราะอุปทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ<br /> เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ<br /> เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปยาส<br /><br />อย่างนี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้<br /> <br />และทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลม<br />(พิจารณการดับของทุกข์เป็นลำดับขั้น)<br /><br /> เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วยวิราคะไม่มีส่วนเหลือ จึงดับสังขารได้ <br /> เพราะสังขารดับ จึงดับวิญญาณได้<br /> เพราะวิญญาณดับ จึงดับนามรูปได้<br /> เพราะนามรูปดับ จึงดับสฬายตนะได้<br /> เพราะสฬายตะดับ จึงดับผัสสะได้<br /> เพราะผัสสะดับ จึงดับเวทนาได้<br /> เพราะเวทนาดับ จึงดับตัณหาได้<br /> เพราะตัณหาดับ จึงดับอุปทานได้<br /> เพราะอุปทานดับ จึงดับภพได้<br /> เพราะภพดับ จึงดับชาติได้<br /> เพราะชาติดับ จึงดับชารมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสได้<br /><br /> <br />อย่างนี้เป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ <br /> <br />(พระสุตันตปิฏก เล่ม๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ข้อ ๒๔๔ หน้า๑๖๔)K95http://www.blogger.com/profile/02408034698607399548noreply@blogger.com1